“เดอะเนสท์” บริษัทอสังหาฯ ตระกูล “มหากิจศิริ” จับมือทุนญี่ปุ่นรายใหญ่ “KRD” ต่อเนื่อง หลังประเดิมโครงแรก แอร์รี่ ศรีนครินทร์ – กรุงเทพกรีฑา มูลค่า 2,500 ล้านบาท เฟสแรกขายแล้ว 40% เตรียมแผนเปิดตัวบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์อีก 2 โครงการ ทำเลกรุงเทพกรีฑา และทำเลศรีนครินทร์-สวนหลวง มูลค่ารวมกว่า 3,900 ล้านบาท
อุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในเครือบริษัท พี.เอ็ม.กรุ๊ป เปิดเผยถึงแผนการลงทุนปี 2566 เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ โดยร่วมทุนกับพันธมิตร บริษัท คันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (KRD) บริษัทอสังหาริมทรัพย์จากญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการ เอเวียน (AVIAN) ศรีนครินทร์-กรุงเทพกรีฑา มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท ขนาดเนื้อที่ประมาณ 42 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวระดับบน ราคาเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท จำนวน 166 ยูนิต และโครงการ แอร์รี่ ศรีนครินทร์-สวนหลวง มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ที่ดิน 9 ไร่ จำนวน 43 ยูนิต เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ราคาเริ่ม 22.9 ล้านบาท
จากก่อนหน้านี้ ได้ร่วมทุนกับ KRD เปิดโครงการแรกไปเมื่อปี 2565 ภายใต้ชื่อโครงการแอร์รี่ (AERIE) ศรีนครินทร์-กรุงเทพกรีฑา มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท บนเนื้อที่กว่า 29 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้นระดับไฮเอนด์ ราคาเริ่ม 16 .9 -40 ล้านบาท เฟสแรกจำนวน 60 หลัง ทำยอดขายแล้ว 40% โดยตั้งเป้าปิดการขายภายในปี 2568
“ตลาดกลุ่มบ้านลักชัวรี่ ที่มีระดับราคา 20-40 ล้านบาท จากการสำรวจตลาดของทีมวิจัยข้อมูล พบว่ายังมีซัพพลายเหลืออยู่ในตลาดไม่มาก ขณะที่ความต้องการของผู้บริโภคยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงเล็งเห็นโอกาสของตลาดบ้านในกลุ่มนี้พร้อมออกแบบบ้านสำหรับทุกคนในครอบครัว ความร่วมมือกับ KRD จะยังมีในโครงการต่อๆ ไป โดยปีนี้ยังสนใจโครงการแนวราบในกรุงเทพฯ เป็นหลัก ทำเลที่สนใจส่วนใหญ่เป็นกรุงเทพฯ ตะวันออก เช่น บางนา-ตราด “ อุษณากล่าว
สำหรับเป้าหมายรับรู้รายได้ปี 2566 ของเดอะเนสท์ตั้งไว้ที่ 2,700 ล้านบาท ยอดโอนปีนี้นอกจากโครงการแนวราบแล้ว ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ “The Nest Condo” พร้อมโอนปีนี้อีก 5 ทำเล คือ เพลินจิต, สุขุมวิท 22, สุขุมวิท 64, สุขุมวิท 71 และจุฬา-สามย่าน
ด้าน เคนอิจิ ฟูจิโนะ ประธานกรรมการ บริษัทคันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า การร่วมทุนกับกลุ่มเดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตที่บริษัทต้องการสร้างพอร์ตธุรกิจที่เหมาะสมในประเทศไทย โดยการร่วมลงทุนในครั้งนี้จะมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้บ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม ขณะเดียวกันบริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายการลงทุนอสังหาฯในกลุ่มประเทศตะวันออกเฉียงใต้ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้เข้าร่วมพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 10 โครงการในเวียดนาม อินโดนีเซีย ไทย และสหรัฐอเมริกา รวมถึงโครงการเช่าซื้ออีก 15 โครงการในสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และออสเตรเลีย
“แม้ว่าตลาดอสังหาฯในประเทศไทยจะเผชิญกับความท้าทาย เช่น ต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขี้น แต่เราเชื่อว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงการยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางสำหรับชาวจีน จะทำให้เศรษฐกิจไทย และตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการฟื้นตัวเร็วขึ้น” เคนอิจิ กล่าว