กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็น 1ใน 5 ธุรกิจหลักของ TCC Group ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ในกลุ่มอสังหาฯ ได้มีการจัดพอร์ตโฟลิโอ บริษัท แอสเสท เวิรค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ AWC ลงทุนอสังหาฯ 2 กลุ่มหลัก คือ ธุรกิจโรงแรมและการบริการ และอสังหาฯเพื่อการพาณิชย์ มูลค่าแสนล้าน” ภายใต้การบริหารของ”วัลลภา ไตรโสรัส” บุตรสาวคนที่ 2 ของเจ้าสัวเจริญ
แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ได้ยื่นไฟลิ่งเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมาเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 6,957 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 22.47% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ออกและจำหน่ายแล้วของบริษัท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยมีแผนจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เพื่อเป้าหมายระดมทุนเพื่อปรับวิธีการทำงานแบบสากล และต้องการเติบโตในยุคต่อไปหลังการบริหารของยุคครอบครัว โดยเงินที่ระดมทุนได้จะนำไปขยายการลงทุนต่อเนื่อง ใช้หนี้สถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
วัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) เผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคต ว่า “AWC” ดำเนินธุรกิจพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ใน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ซึ่งบริหารงานโดยผู้บริหารโรงแรมที่มีชื่อเสียงภายใต้แบรนด์ชั้นนำที่มีคุณภาพและเป็นที่รู้จักระดับสากล เช่น แมริออท, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล, โอกุระ, บันยันทรี, ฮิลตัน และเชอราตัน โดยมีโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 10 แห่ง จำนวน 3,432 ห้อง โรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือมีแผนพัฒนา 5 แห่ง จำนวน 1,528 ห้อง นอกจากนี้ ได้เซ็นสัญญาซื้อโรงแรมอีก 12 แห่งเพื่อพัฒนาในช่วง 5 ปี รวมจำนวนโรงแรมอยู่ในมอื 8,000 ห้อง
และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail and Commercial Building) ซึ่งครอบคลุม อสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการค้าปลีก (Retail and Wholesale) จำนวน 10 โครงการ พื้นที่รวม 3.4 แสนตร.ม. ได้แก่สถานที่ท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้ชอบปิ้งมอลล์ คอมมูนิตี้มาร์เก็ต รวมทั้งอสังหาฯเพื่อปประกอบกิจการค้าส่ง โดยโครงการที่มีชื่อเสียง เช่น เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ โครงการเกทเวย์ แอท บางซื่อ โครงการพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ประตูน้ำ และโครงการตะวันนา บางกะปิ และอาคารสำนักงาน (Office) เช่น อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ และอาคารแอทธินี ทาวเวอร์
โดยมีทุนจดทะเบียน 3.2 หมื่นล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 2.4 หมื่นล้านบาท และมีมูลค่าสินทรัพย์รวม ณ สิ้นมีนาคม 2562 กว่า 9.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่บริษัทมีกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นเจ้าของสัดส่วน 90%
“วัลลภา” กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการของ AWC มีผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนห้องพักของโรงแรมที่เปิดดำเนินการในปัจจุบัน (31 มีนาคม 2562) จำนวน 3,432 ห้อง
ส่วนโครงการอื่น ๆ รวมถึงคอมมูนิตี้ชอปปิงมอลล์ ภายใต้แบรนด์เกทเวย์ พันธุ์ทิพย์ และตะวันนา AWC มีโครงการที่เปิดดำเนินงานแล้ว 8 แห่ง และโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 2 แห่ง ประกอบด้วยโครงการคอมมูนิตี้มาร์เก็ต บางกะปิ และโครงการเออีซี เทรด เซ็นเตอร์ ซึ่งโครงการทั้ง 10 แห่งมีพื้นที่เช่าสุทธิรวมกันกว่า 340,000 ตร.ม. ยังมีโครงการในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการประกอบกิจการการค้าปลีก (Retail) อีก 2 แห่ง ประกอบด้วยโครงการใหม่ 1 แห่ง และส่วนต่อขยายของโครงการเดิม 1 แห่ง ที่บริษัทฯ ได้ทำบันทึกข้อตกลงปี 2562 ที่จะเข้าลงทุนซึ่งบริษัทฯ จะเข้าทำสัญญาต่อไป
นอกจากนี้ AWC ยังเป็นเจ้าของอาคารสำนักงานอีก 4 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในย่านใจกลางธุรกิจของกรุงเทพฯ ได้แก่ อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ, อาคาร 208 วายเลสโร้ด อาคารแอทธินี ทาวเวอร์ และอาคาร อินเตอร์ลิงค์ ทาวเวอร์ โดยมีพื้นที่เช่าสุทธิรวมกันกว่า 270,000 ตร.ม.
ขณะที่ ในปี 2561 AWC มีรายได้จากธุรกิจหลักรวม 10,998.64 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจาก 2 กลุ่มธุรกิจ แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงแรมและบริการประมาณร้อยละ 60 และรายได้จากกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ประมาณร้อยละ 40
จากพื้นฐานความแข็งแกร่งทางธุรกิจ AWC ได้กำหนดกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจ โดยมุ่งต่อยอดความเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศไทย มุ่งมั่นในการสร้างกำไรอย่างยั่งยืนและมีการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม การพัฒนาทรัพย์สินที่มีคุณภาพเพื่อส่งเสริมการเติบโตของบริษัท การบริหารจัดการทรัพย์สินในเชิงรุกและใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอของ AWC และการดึงดูด พัฒนาและรักษาไว้ซึ่งบุคลากรที่มีความสามารถ
“อสังหาฯ ที่คัดมาอยู่ในพอร์ตโพลิโอของ AWC เป็น ไพร์ม พร็อพเพอร์ตี้ และ โพร์ม โลเคชั่น ย่านซีบีดี และหัวเมืองท่องเที่ยว ที่สร้างรายได้แล้วในปัจจุบัน จึงเชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน” วัลลภากล่าว