หนึ่งในผู้ประกอบการที่ปรับตัวอย่างต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา “แอล.พี.เอ็น.ฯ” วันนี้ยังต้องปรับ!!! ฝ่าปัจจัยลบ เติบโตอย่างยั่งยืน
ในช่วง 2 ปีผ่านมา “LPN” คือหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่พยายามปรับเปลี่ยนโมเดลโครงสร้างธุรกิจ รองรับบรรยายกาศในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่สดใสเหมือนเช่นในช่วง 4-5ก่อนหน้า โดยในปี 2560 เ ปิดกลยุทธ์ year of shift จากภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น กำลังซื้อระดับกลาง-ล่างชะลอตัวลง จึงต้องขยายไปสู่ตลาดระดับบนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นตลาดที่มีศัยกภาพมากกว่า
และนับว่าประสบความสำเร็จโดยสามารถกู้ยอดขายกลับมาสู่ภาวะการเติบโตได้อีกครั้งในปี 2561 ด้วยอัตราการเติบโต 20% ในปี 2561 จึงมุ่งสู่การเป็น Year of Change โดยการเปิดแบรนด์ใหม่ บ้าน 365 ซึ่งสามารถสร้างยอดขายในช่วงพรีเซลได้มากกว่า 50% จนกลายเป็น Talk of the Town ในวงการ นอกจากนี้ ยังจับตลาดบ้านแนวราบระดับบน และมุ่งเน้นการพัฒนาหลากหลายรูปแบบ ไม่จำกัดตัวเองเฉพาะที่อยู่อาศัย ที่ขยายธุรกิจไปยัง “Office Condo”
โอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) มองว่า เมื่อสถานการณ์หลายอย่างที่เคยเกิดในอดีต เริ่มจะวนกลับมาเป็นวงจรเดิมของธุรกิจอีกครั้ง มีหลายสถานการณ์เริ่มน่าวิตก ซึ่งส่งผลให้ตลาดอสังหาฯในปี 2562 เข้าสู่ภาวะถดถอย ไม่ว่า จะเป็นราคาที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้น จากราคาที่ดินที่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกำลังซื้อผู้บริโภคตามไม่ทัน เป็นเหตุทำให้ดีเวลลอปเปอร์ไปพึ่งพากำลังซื้อจากต่างชาติ ขณะที่ซัพพพลายเข้ามาในตลาดมากมาย จนเกินความต้องการในหลายทำเล ที่สำคัญคือเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย เริ่มส่งสัญญาณเตือนให้ระมัดระวัง เป็นสัญญาณบ่งบอกอะไรบางอย่าง
# ตลาดอสังหาฯปี62 สู่ภาวะ “ถดถอย”
ภาพของสภาวะถดถอยยิ่งปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้น บริษัทจึงได้เตรียมแผนรองรับปัจจัยลบต่างๆ ไว้เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน แผนธุรกิจในปี 2562 ยังเป็นแผนที่บริษัทดำเนินการต่อเนื่องมาจาก 2 ปีก่อน เราพยายามกระจายฐานรายได้ออกเป็นหลายๆขา เพื่อลดความเสี่ยง จากที่ผ่านมาธุรกิจของบริษัทมีขาเดียว คือการพัฒนาเพื่อขายในกลุ่มคอนโดมิเนียมกลาง-ล่าง มีรายได้ถึง 98% ของรายได้รวม จึงได้เริ่มกระจายฐานออกไปสู่ตลาดกลาง-บน
ส่วนตลาดกลาง-ล่าง แม้ยังมีปัญหาแต่ก็ยังต้องรักษาฐานลูกค้าเหล่านี้ไว้ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ลุมพินี วิลล์ ที่ขายระดับราคา 1.2-1.5 ล้านบาท แบรนด์ลุมพินี เพลส ขายระดับราคา 2-3 ล้านบาท โดยยอดขายคอนโดจะคงระดับที่ 10,000 ล้านบาท ใน 3 ปีนับจากนี้ ส่วนธุรกิจขาที่สอง คือ การพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบที่มียอดขาย 5,500 ล้านบาท จะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าการเติบโตปีละ 20% และธุรกิจขาที่สามคือ ธุรกิจบริการ จากการบริหารโครงการที่จะมีรายได้ 1,300-1,5000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 20%
ส่วนแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ เปิดรวม 16 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 10 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท เป็นบ้านแนวราบราคา 2-3 ล้านบาท ถึง 10 ล้านบาท 8 โครงการ และบ้านระดับบนราคา 15-20 ล้านบาท 2 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท เป้นคอนโด แบรนด์ลุมพินี เพลส ราคา 2-3 ล้านบาท 4 โครงการ แบรนด์ ลุมพินี วิลล์ ราคา 1.2-1.5 ล้านบาท 1 โครงการ และคอนโดระดับบน แบรนด์ ซีเล็คเต็ด ราคา 4 ล้านบาทขึ้นไป อีก 1 โครงการ และ มีโครงการอาคารสำนักงานเพื่อขาย หรือ Office condo อีก 1 โครงการอยู่ภายใต้โครงการมิกซ์ยูสย่านถนนนราธิวาส
“โครงการที่เปิดในปีนี้ จะต้องมั่นใจว่าจะไม่สร้างปัญหาให้เราในอนาคต จึงต้องลงทุนอย่างระมัดระวังทั้งเรื่องทำเล ราคา และโปรดักต์”
นับเป็นความท้าทายของ LPN สำหรับเป้ายอดขายปีนี้ คาดว่าจะทำได้ 16,000 ล้านบาท และทำรายได้รายได้ 12,000 ล้านบาทมาจากคอนโดมิเนียม 9,000 ล้านบาทและบ้านแนวราบ 3,000 ล้านบาท ถือเป็นอัตราการเติบโต 15-20% จากปีที่ผ่านมา