วันนี้ ถึงคิว เอสซี แอสเสท อสังหาฯรายใหญ่ของตลาดอีกราย ที่ออกมาประกาศเดินหน้าการลงทุนแบบดุเดือดอีกครั้ง หลังพ้นช่วงที่ยากลำบากในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พร้อมเปิดแผนโรดแมปพัฒนาธุรกิจปี 2566-2570 ตั้งเป้ารายได้ 5 ปี ทะยานสู่150,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนผ่านยุทธศาสตร์ SC Thriving Beyond ภายใต้ 4 แกนหลัก ลูกค้า พนักงาน สิ่งแวดล้อม และองค์กร
“ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) มองถึงแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้มีทิศทางการขยายตัวที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมที่กลับมาฟื้นตัวเกือบเท่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากดีมานด์ของลูกค้าชาวต่างชาติที่กลับสู่ตลาด สอดคล้องกับทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 3 % โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากธุรกิจท่องเที่ยว และการเลือกตั้ง ที่ประชาชนให้ความสนใจและให้ความหวังกับการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ยังต้องติดตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และเงินเฟ้อ อย่างใกล้ชิด
แผนในระยะ 5 ปี ( 2566-2570) ตั้งเป้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนเฉลี่ยปีละ 25,000 ล้านบาท และกระจายไปในสองกลุ่มธุรกิจใน ทั้งการลงทุนโครงการที่อยู่อาศัย และการลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ เช่น ธุรกิจให้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน และธุรกิจโรงแรม แบ่งเป็นการลงทุนในโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและแนวราบ 80 % และอีก 20% เป็นการลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ(recurring income) เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยตั้งเป้ารายได้เติบโตต่อเนื่อง 5 ปีมีรายได้รวมกันกว่า 150,000 ล้านบาท และมีสัดส่วนกำไรมากกว่า 20 %ต่อปี
เปิดแบรนด์ใหม่ “95E1”บ้านหรู 100 ล้าน
ณัฐพงศ์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนลงทุนโครงการใหม่ 22 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 30,000 ล้านบาท โดยจะขยายตลาดสู่ลูกค้าระดับ hi-end เป็นครั้งแรก ภายใต้แบรนด์ใหม่ “95E1” (ไนน์-ตี้-ไฟว์-อีสต์-วัน) ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวใจกลางเมือง เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ราคาเริ่มต้น 100 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งเป็นบ้านที่แพงที่สุดที่เคยพัฒนามา โดยปี 2567 คาดว่าจะมีโครงการแบบนี้อีก 2 ทำเล
นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดตัว บ้านเกมเมอร์ รองรับลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ ภายในโครงการ “Venue ID มอเตอร์เวย์-พระราม 9” ราคาเริ่ม 14.29 ล้านบาท บ้านไทป์ใหม่นี้เกิดจากการออกแบบร่วมกับเกมเมอร์ตัวจริง 2 รายคือ Willcomeback กับ MNJ TV เพื่อให้ได้บ้านที่มีฟังก์ชันตรงกับวิถีชีวิตแบบเกมเมอร์, สตรีมเมอร์, คอนเทนต์ ครีเอเตอร์ ซึ่งไม่เหมือนกับอาชีพอื่นทั่วไป แบบบ้านพิเศษนี้ถือเป็นการต่อยอดจาก “บ้านคนโสด” ที่ได้รับการตอบรับดี ทำ และโปรเจ็กต์ถัดไปของการเจาะตลาดนี้ SC กำลังพัฒนา “แบบบ้านสำหรับคนที่มีไลฟ์สไตล์ คน Introvert กับ Extrovert”ในอนาคต
คอนโดแบรนด์ใหม่เจาะกลุ่ม “Gen Z”
ส่วนการลงทุนโครงการแนวสูง มีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียม 3 โครงการ โดยจะมีการพัฒนาแบรนด์ใหม่ย่านรัชดา-พระราม9 และเกษตร-ศรีปทุม เจาะฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ ระดับราคาขายต่อยูนิตเริ่มต้นที่ 2.5 ล้านบาท
ส่วนอีกแห่งหนึ่งจะเป็นกลุ่มลักชัวรีคือ “SCOPE ประสานมิตร” ราคาเฉลี่ย 250,000-280,000 บาทต่อตร.ม. เน้นฟังก์ชันห้องชุดขนาดใหญ่ อยู่จริงได้ทั้งครอบครัว และมีบริการระดับพรีเมียม ราคาเริ่มต้น 35 ล้านบาทต่อยูนิต
ลุยธุรกิจคลังสินค้า โรงแรม
ในส่วนธุรกิจ จะมาเสริมรายได้ให้บริษัท ขณะนี้ 3 กลุ่มธุรกิจหลักที่บริษัทลงทุน ได้แก่ อาคารสำนักงาน, โรงแรม และคลังสินค้า
ปีนี้ออฟฟิศของ SC ที่มีพื้นที่เช่ารวม 120,000 ตร.ม. จะมีการรีโนเวตบางส่วนให้ตอบรับกระแสการทำงานแบบไฮบริดมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนโรงแรม ภายใต้ชื่อ YANH ย่านราชวัตร ภายใต้คอนเซ็ปท์ “Workcation Hotel” รองรับวิถี Remote Working ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง และพัฒนาโรงแรมแบรนด์ใหม่ย่านสุขุมวิท 29 มูลค่าการลงทุน 2,500 ล้านบาท และในพัทยา โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ เพื่อไปให้ถึงเป้ารวมจำนวน 1,000 ห้อง
ขณะเดียวกันยังร่วมมือกับ Flash Eapress ขยายธุรกจิคลังสินค้า เพื่อรองรับเป้าหมายพัฒนาพื้นที่แวร์เฮ้าส์ให้ได้ตามเป้าหมาย 1 ล้านตารางเมตรในปี 2573
ขณะที่อีกส่วนสำคัญคือธุรกิจคลังสินค้า ซึ่งปี 2565 เอสซี แอสเสท ได้ประกาศความร่วมมือกับ Flash Express เพื่อจะเป็นผู้ลงทุนสร้างคลังสินค้าให้เช่าแก่ Flash Express คาดปีนี้จะเริ่มให้บริการคลังสินค้าได้ 150,000 ตารางเมตร และมีเป้าหมายเพิ่มไปแตะ 1 ล้านตารางเมตร ในปี 2573
“ตลาดคลังสินค้ายังเป็นธุรกิจผู้เล่นน้อยราย มีรายใหญ่อยู่แค่ 2 ราย แต่ตลาดมีศักยภาพที่จะโตสูงมาก เพราะจีนมีนโยบาย ‘China +1’ หมายถึงธุรกิจจีนต้องมีการกระจายความเสี่ยง ลงทุนในจีนและในต่างประเทศเพิ่มอีก 1 แห่ง ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญ ทำให้เอสซี สนใจธุรกิจนี้” ณัฐพงศ์กล่าว
สำหรับในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย 30,000 ล้านบาท เติบโต 23 % โดยตั้งเป้ารายได้รวม 25,000 ล้านบาท เติบโต 16 % แบ่งเป็นรายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวสูงและแนวราบ 95 % อีก 5 % เป็นรายได้จากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ