“ศุภาลัย” นับเป็นบริษัทอสังหาฯ ที่ทำกำไรสูงสุดมาต่อเนื่อง และเป็นบริษัทครบเครื่องทั้งบ้าน ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม ที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมก้าวที่ยิ่งใหญ่สู่ปี 34 ประกาศ ผุด 37 โครงการ มูลค่า 4.1 หมื่นล้านบาท มากที่สุดทั้งจำนวนและมูลค่าตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา
ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ประเมินปัจจัยบวก ปัจจัยลบ ในปี 2566 เศรษฐกิจจะเติบโตดีขึ้นต่อเนื่องถึง 3-4% ซึ่งจะส่งผลให้กำลังซื้อภายในประเทศดีขึ้น และกำลังซื้อจากต่างชาติจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยเฉพาะคนจีน ส่งผลดีต่อกำลังซื้อในประเทศในภาคบริการและการท่องเที่ยวนำร่อง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้เป็นปีที่ดี แม้จะมีเรื่องภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
แต่ถึงนั้นเพื่อกระจายความเสี่ยง ทำให้ความเสี่ยงลดลง ศุภาลัย จะมีการต่อยอดขยายธุรกิจไปในหลากหลายมิติจากที่มีอยู่แล้ว สำหรับปีนี้ ศุภาลัยเตรียมขยายโครงการทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รองรับดีมานด์กลับเข้ามา โดยมีระดับราคาตั้งแต่ 2-20 ล้านบาท เป็นทางเลือกให้ลูกค้า
ขยายลงทุนรีสอร์ท โฮมออฟฟิศ คอมมูนิตี้มอลล์
นอกจากนี้ จะมีการลงทุนธุรกิจอื่นๆ อาทิ Resort Housing ที่โครงการศุภาลัย ซีนิค เบย์ พูล วิลล่า ภูเก็ต Rental Office ที่โครงการศุภาลัย ไอคอน สาทร, Serviced Condo ในหลายโครงการ Home Office ที่ศุภาลัยแกรนด์ เอสเซ้นส์ @ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ Community Mall Market ในหัวเมืองใหญ่ สนับสนุนการกระจายรายได้สู่ชุมชน และ Co-Working ชื่อว่า MEET & CO ที่อาคารศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์ โดยมีสัดส่วน 5% จากยอดขาย เพื่อขยายสู่ลูกค้าเป้าหมายทุกกลุ่ม
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งได้ลงทุนไปแล้วในออสเตรเลีย 12 โครงการ ใน 4 เมือง โครงการส่วนใหญ่อยู่ที่เมลเบิร์น ในรัฐวิคตอเรีย 8 โครงการ เมืองเพิร์ทมี 2 โครงการ เมืองบริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ 2 โครงการ รวมมูลค่า 52,600 ล้านบาท ใช้เม็ดเงินลงทุนรวมของศุภาลัย 9,748 ล้านบาท อนาคตอาจขยายโครงการใหม่เพิ่มหากมีโอกาสที่เหมาะสม รวมถึงขยายการลงทุนประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ทั้งในรูปแบบการซื้อหุ้นและร่วมทุน
คีย์ซักเซสยึดหัวหาดตจว.เข้าใจตลาด “Think Global, Act Local”
ประทีป บอกต่อว่า ศุภาลัยเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ต่างจังหวัดมากว่า 20 ปี จึงรู้ความต้องการของผู้บริโภคเป็นอย่างดี แม้หลายคนจะบอกว่า การทำตลาดต่างจังหวัดยาก เพราะสู้ต้นทุนการก่อสร้างของผู้ประกอบการท้องถิ่นไม่ได้ โดยเฉพาะราคาที่ดินที่ต่างได้ซื้อเก็บไว้นานแล้ว แต่ศุภาลัยพัฒนาได้ไม่มีปัญหา บางดีเวลลอปเปอร์พัฒนาแค่ 1-2 โครงการก็เลิก เพราะไม่เข้าใจตลาด วิธีคิดต้อง “Think Global, Act Local” ต้องเข้าใจคนท้องถิ่นเพื่อตอบโจทย์คนในแต่ละพื้นที่ เช่น ภาคใต้ฝนตกชุก คนไม่คุ้นเคยทำตลาดแบบแห้งๆ ห้องนอน ที่ภูเก็ต หาดใหญ่ จะใช้กระเบื้องเพื่อให้ทำความสะอาดง่าย เป็นต้น
ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ กล่าวเสริมว่า จุดแข็งศุภาลัยนอกเหนือจากเรื่องแบรนด์ คือ การได้มาซึ่งสินเชื่อบ้านในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า เทียบบริษัทอสังหาฯ ที่ไม่ได้อยู่ในตลาด ห่างกัน 1-1.5% ทำให้ลูกค้าที่ซื้อบ้านจากศุภาลัย และหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้บริษัทเติบโต คือ อัตราการกู้ไม่ผ่าน (Reject rate ) มีเพียง 11% เทียบ 2 ปีก่อนสูงถึง 16-17% ตัวเลขนี้เรียกว่าน้อยที่สุดในตลาด นอกจากนั้นลูกค้าของบริษัทมีสัดส่วน NPL น้อยที่สุดในตลาดเมื่อเทียบดีเวลลอปเปอร์รายอื่น
ปี 66 เปิด 37 โครงการ
สำหรับปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 37 โครงการ มูลค่ารวม 41,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 34 โครงการ มูลค่า 32,700 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท ซึ่ง 2 ใน 3 ของโครงการที่จะเปิด คือ แปลงสนามบินน้ำ และ ศุภาลัย ปาร์คเอกมัย-พัฒนาการ พร้อมเตรียมบุกหนักเปิดโครงการในจังหวัดใหม่ๆ ที่มีทำเลศักยภาพและมีความต้องการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันศุภาลัยนับเป็นเจ้าตลาดที่การพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดมากที่สุด ครอบคลุม 28 จังหวัด และในปี 2566 จะพัฒนาโครงการใหม่ในอีก 5 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง ลำพูน นครปฐม ราชบุรี และจันทบุรี เน้นพัฒนาแนวราบระดับ 10-30 ล้านบาทมากขึ้น
“ปี 2565 บ้านราคา 10-20 ล้าน ของศุภาลัยขายได้เพิ่มขึ้นถึง 155% เทียบปี 2564 ระดับราคา 20 ล้านขึ้นไปขายได้เพิ่มขึ้นถึง 157% สะท้อนว่า กลุ่มบ้านลักชัวรียังคงมีดีมานด์ต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายปี 2565 สูงถึง 32,433 ล้านบาท เติบโต 35% ส่วนปี 2566 ตั้งเป้ายอดขาย 36,000 ล้านบาท และรายได้ 36,000 ล้านบาท และงบประมาณการจัดซื้อที่ดิน 8,000 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2565 มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 31 โครงการ มูลค่ารวม 37,800 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 28 โครงการ คอนโดมิเนียม 3 โครงการ และทำยอดขายทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 28,000 ล้านบาท โดยมียอดขายรวมสูงถึง 32,433 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่ทำได้ 24,069 ล้านบาท ซึ่งความสำเร็จด้านยอดขายมาจากการที่บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งสามารถเปิดตัวโครงการใหม่ในแต่ละจังหวัด มีการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี สินค้ามีความหลากหลาย และตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย