เอสซีจี เซรามิกส์ เตรียมรับมือลดต้นทุนการผลิต เดินหน้าโครงการ Energy Saving พร้อมดัน คอตโต้ ขยายฐานกลุ่มคนรุ่นใหม่ แจงผลประกอบการปี 2565 รายได้จากการขายแตะ 13,157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% แม้จะได้รับปัจจัยกระทบจากสราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงฉุดยอดขายไตรมาส 4 ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์ “คอตโต้” (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPANA) เปิดเผยว่า ความต้องการใช้สินค้ากระเบื้องเซรามิกโดยรวมในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวตามการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ เศรษฐกิจโดยรวมที่น่าจะขยายตัวและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยมีแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว แต่ยังคงมีปัจจัยกระทบจากต้นทุนการผลิตยังที่ต้องจับตามอง โดยเฉพาะราคาพลังงาน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และหนี้ครัวเรือนที่มีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค
ทั้งนี้ บริษัทฯได้เตรียมรับมือกับต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ด้วยการลดต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ และเร่งโครงการ Energy Saving ให้เกิดผลเร็วขึ้น ในส่วนของการสร้างรายได้และกำไร คาดการณ์ว่าจะได้ส่วนเพิ่มจากสินค้าและบริการใหม่ ๆ ทั้ง LT by COTTO, Pool & Decorative Tiles, C’Tis บริการติดตั้งวัสดุกรุผิวครบวงจร, ผลิตภัณฑ์ติดตั้งและซ่อมแซมพื้นผิว, SUSUNN Smart Solution ธุรกิจด้านการจัดการพลังงานและด้านวิศวกรรม
นอกจากนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ด้านการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายเพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าและคู่ค้า โดยการร่วมมือกับร้านค้าโมเดิร์นเทรด ผู้แทนจำหน่าย รวมถึงช่องทางออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ง่ายและทั่วถึง บริหารพอร์ตสินค้า โดยจะเน้นขายสินค้าที่มีกำไรสูง ตลอดจนปรับราคาสินค้าเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต ควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐานทั้งในด้านดีไซน์ ความสวยงาม คุณภาพสินค้า และการบริการที่เหนือกว่า เมื่อเทียบกับสินค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าที่มุ่งแข่งขันเรื่องราคาเป็นหลัก และมุ่งที่จะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มเป็นกำลังซื้อที่สำคัญ
สำหรับในช่วงไตรมาส 4 ปี 2565 ตลาดกระเบื้องเซรามิกซ์มีสัญญาณชะลอตัว โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นผลมาจากกำลัง ของกลูกค้าต่างจังหวัดลดลง ขณะที่ราคาพลังงาน ทั้งราคาก๊าซธรรมชาติและค่าไฟฟ้าปรับเพิ่มสูงขึ้นมาก กระทบต่อต้นทุนการผลิต รวมทั้งตลาดส่งออกในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน มีความผันผวนเรื่องค่าเงิน จึงมีการควบคุมการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้ยอดขายในไตรมาส 4ของบริษัทลดลง 7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 โดยทำยอดขายได้ 3,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564
โดยมียอดขาดทุนสำหรับงวดประมาณ 741 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลประกอบการที่รวมการตั้งสำรองการด้อยค่าของสินทรัพย์ การตั้งค่าเผื่อมูลค่าสินค้าลดลงของสินค้าคงเหลือของโรงงานผลิตแผ่นหินประดิษฐ์ขนาดใหญ่ 847 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายสำหรับแผนการออกจากงานด้วยความเห็นชอบร่วมกัน 20 ล้านบาท ทั้งนี้หากไม่รวมรายการสำคัญ ดังกล่าว ยอดตัวเลขขาดทุนจากการดำเนินงานปกติจะอยู่ที่ 47 ล้านบาท ลดลง178% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ ผลประกอบการปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 13,157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปี 2564 ที่มีรายได้ 11,194 ล้านบาท ประมาณ 17% เป็นผลจากการปรับราคาขายขึ้นและยอดขายภายในประเทศที่เติบโตขึ้น โดยรายได้หลักมาจากการขายสินค้าภายในประเทศ 81% และส่งออกต่างประเทศ 19% ส่วนตัวเลขขาดทุนเท่ากับ 228 ล้านบาท ลดลง 139% จากช่วงเดียวกันของปี