“ศุภาลัย”มองอสังหาฯปี64 โอกาสของบริษัทมีความพร้อมของ”เงินทุน”

ที่ผ่านมา“ศุภาลัย” ได้กระโดดเข้าลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างจังหวัด ตั้งแต่ปี 2529 กลายเป็นผู้ลงทุนอสังหาฯในต่างจังหวัดมากเป็นอันดับหนึ่ง ถึงปัจจุบันเปิดตัวไปแล้ว ใน 17 จังหวัด จำนวนรวมกว่า 1.7 แสนยูนิต ล่าสุดอยุธยา

ประเทศไทยมีประชากร 65ล้านคน อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่า 10 ล้านคน ขณะที่ 54 ล้านคน หรือ 84% ของประชากรรวมทั้งประเทศอยู่ในต่างจังหวัด นั่นหมายความว่า “โอกาส” ทางการตลาดจึงไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่เพียงกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น แต่มากกว่าไปนั้นคือ “ตลาดต่างจังหวัด” มีโอกาสท่ามกลางตลาดที่ชะลอตัว ก็ยังมีบางเซกเมนต์ท์ยังไปได้ โดยเฉพาะตลาดแนวราบที่มีความต้องการอย่างต่อเนื่อง

ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากข้อมูลตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่ามีศักยภาพน่าสนใจ เนื่องจากเป็นพื้นที่ศูนย์กลางการเชื่อมต่อการเดินทางไปยังภาคเหนือและภาคอีสาน และพื้นฐานอยุธยาเป็นหนึ่งในกลุ่ม “จังหวัดนิคม” เป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 6 แห่ง ทำให้มีคนย้ายเข้ามาในพื้นที่นี้เป็นจำนวนมากและมีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น จากกลุ่มอุปสงค์หลักทั้งคนในท้องถิ่นรวมไปถึงแรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ย้ายมาทำงานในนิคมอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม ถือเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยในอนาคต โดยเฉพาะการลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูง อยุธยา-อีอีซี เพื่อใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) มอเตอร์เวย์
ในแง่กำลังซื้อสูง มีจีดีพีจังหวัดเป็นอันดับ 3 ของภาคกลาง รองจากกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ สังเกตได้จากตัวเลข รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อเดือนอยู่ที่ 37,913 บาทรองจากกรุงเทพฯที่มีรายได้อยู่ที่ 50,368 บาท จะเห็นได้ว่าอยุธยาเป็นจังหวัดที่น่าสนใจและมีกำลังซื้อ ประชากรส่วนใหญ่มีศักยภาพพอที่จะซื้อบ้านในราคาเกิน 1 ล้านบาทได้ ส่งผลให้สามารถนำเสนอสินค้าหลากหลายทั้งทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝดและบ้านเดี่ยว

“ศุภาลัยบุกเบิกตลาดต่างจังหวัดมากกว่า 34 ปี ปัจจุบันสร้างยอดขายรวมให้บริษัทเติบโตต่อเนื่องโดยคิดเป็น 1 ใน 3 ของยอดขายรวม คิดเป็นมูลค่าเกือบ 1 หมื่นล้านบาท” ไตรเตชะ กล่าว

ฉีกทำเลเจาะโซนเหนือหนีการแข่งขัน

บริษัทเริ่มเปิดตัว 2 โครงการแรกในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้แก่ โครงการศุภาลัย พรีโม่ อยุธยา มูลค่าโครงการ 417 ล้านบาท และ โครงการศุภาลัย วิลล์ อยุธยา มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท หลังเปิดตัว 2 เดือน บริษัททำยอดขาย 2 โครงการรวมกัน 190 ล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างดีและเกินเป้าหมาย

โครงการของบริษัท แยกเป็นศุภาลัย พรีโม่ อยุธยา ซึ่งเป็นทาวน์เฮาส์และบ้านแฝด ราคาเริ่ม 2 ล้านต้น และศุภาลัย วิลล์ อยุธยา จะเป็นบ้านแฝดและบ้านเดี่ยว ราคาเริ่ม 3 ล้านต้น
ทั้งสองโครงการอยู่บนถนนทางหลวง 3053 ซึ่งเชื่อมต่อกับถนนเอเชีย บริเวณตำบลบ้านเกาะ เป็นฝั่งทิศเหนือของเมือง เจาะกลุ่มคนทำงานในนิคมอย่างชัดเจน โดยสินค้าทาวน์เฮาส์จะเน้นคนวัย 25-30 ปี และสินค้าบ้านแฝด-บ้านเดี่ยวเกาะกลุ่มคนวัย 30-45 ปี การมีสินค้าหลากหลายทำให้เก็บลูกค้าได้ทุกความต้องการ


“บริษัทได้มีการศึกษาศักยภาพตลาดอยุธยามานาน 4-5 ปี พบว่ายังมีช่องว่างให้เจาะตลาดได้ โดยเลือกฉีกทำเลมาในโซนเหนือ จากที่บริษัทใหญ่ส่วนใหญ่จะไปกระจุกตัวบริเวณตำบลเกาะเรียนที่อยู่โซนใต้ การแข่งขันสูง”

อย่างไรก็ดี บริษัทมีแผนจะเปิดโครงการเพิ่มในอยุธยาอีก เพราะได้จัดหาที่ดินไว้เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างออกแบบโครงการ โดยจะมีในทำเลอื่นๆ ของอยุธยาเพิ่มเติม

ไตรเตชะกล่าวถึง ภาพรวมตลาดอสังหาฯปีนี้ถือเป็นปีทียากลำบาก เพราะกำลังซื้อลดลงผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราการกู้ไม่ผ่านเพิ่มสูงขึ้นมากกกว่าปีก่อน ส่วนปี 2564 มองว่าแง่ดีมานด์จะปรับตัวดีขึ้น แต่แง่มูลค่าตลาดปรับตัวลดลง จากจำนวนโครงการเปิดใหม่ลดลง เนื่องจากสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยกู้ทั้งส่วนโครงการ และผู้ซื้อรายย่อย ทำให้ผู้ประกอบการลดไซส์การเปิดโครงการลง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ที่ปัจจุบันยังมีสต็อกเหลือขายอยู่มาก แต่มองว่าจะเป็นโอกาสสำหรับบริษัทที่มีความพร้อมด้านการเงิน โอกาสของการซื้อที่ดิน ศุภาลัยจะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์สร้างการเติบโตให้บริษัทได้มากขึ้น

About Kansuchaya Suvanakorn

ผู้สื่อข่าวสายเศรษฐกิจมาเกือบ 30 ปี

View all posts by Kansuchaya Suvanakorn →

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *