“วี พร็อพเพอร์ตี้” ขยับเกมรุกธุรกิจมากขึ้น หลังทายาทรุ่น 2 “ธีร ชุติวรากรณ์” มานั่งในตำแหน่งผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด รับไม้ต่อในอนาคตจากผู้พ่อ “พรชัย เลิศอนันต์โชค” ผู้ปลุกปั้น วี พร็อพเพอร์ตี้ อยู่ในวงการตลาดอสังหาฯ มากว่า 20 ปี
โดย…กัญสุชญา สุวรรณคร
ธีร เล่าว่า วี พร็อพเพอร์ตี้ อยู่ในวงการตลาดอสังหาฯ มากว่า 20 ปี พัฒนาโครงการทั้งแนวราบ และคอนโดมิเนียมไลว์ไลซ์ ภายใต้ 4 แบรนด์ คือ เวอร์เทียร์ แบรนด์ระดับไฮเอนด์ ราคา 1.9 แสนบาท/ตร.ม., วีธารา ราคา 1.3-1.4 แสนบาท/ตร.ม., เอช คอนโด ราคา 1.4-1.5 แสนบาท/ตร.ม.และไอคอน ราคา 9 หมื่นบาท/ตร.ม
การมารับช่วงต่อจากคุณพ่อ หลักๆ เน้นการต่อยอดพัฒนา วี พร็อพเพอร์ตี้ ให้ดียิ่งขึ้น โดยแผนระยะสั้น คือ การรีแบรนด์ให้มีความชัดเจน เพื่อสร้างการจดจำและรับรู้มากขึ้น พร้อมเพิ่มบริการหลังการขายเพื่อให้บริการลูกค้าดียิ่งขึ้น จะตั้งคอลเซ็นเตอร์ 1298 รับปัญหาต่างๆของลูกค้า รวมถึงมีบริการฝากขาย เช่า
ส่วนของเรื่องโปรดักส์ วี พร็อพเพอร์ตี้ ถือว่าค่อนข้างมีจุดแข็ง ทั้งทำเลการเลือกเปิดโครงการอยู่แนวรถไฟฟ้า หรือย่านธุรกิจ สุขุมวิท ตลอดจน สเปคของโปรดักส์ที่ให้มากกว่า บริษัทรายใหญ่และรายกลาง เพราะก่อนจะเปิดโครงการเราจะมีการเซอร์เวย์ ว่าลูกค้าคือใคร มีความต้องการอะไร นำมาจัดเป็นแพคเกจ แบบคัสเซอร์ไมซ์ที่เหมาะกับลูกค้า แตกต่างไปจากเจ้าอื่นๆ อาจจะมาแบบแพทเทิร์นเดิมๆตลอด ตัวอย่าง โครงการ วีธารา สุขุมวิท 36 ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลัก เป็นคนจีน และญี่ปุ่น เราจึงให้อ่างอาบน้ำทุกยูนิตทั้งยูนิตเล็กและใหญ่ แม้จะเป็นการเพิ่มต้นทุนก็ตาม รวมถึง การให้บ่อออนเซ็นแยกชาย-หญิง เป็นต้น
พร้อมกับนโยบายที่ชัดเจนต่อการลงทุนเปิดโครงการในแผนระยะสั้นและกลาง จากในอดีตที่จะเปิดตัว 2 ปีต่อ 1 โครงการ ซึ่งจะรุกการพัฒนาคอนโดมิเนียมให้ได้ 2-3 โครงการต่อปีมูลค่าราว 5,000 ล้านบาท
สำหรับในปีนี้ วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 2-3 โครงการ เป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ โซนรัชดา ,พระราม9 รวมมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1 ได้เปิดตัวไปแล้ว 1 โครงการ คือ “เวอร์เทีย สุขุมวิท” มูลค่า 1,800 ล้านบาท ส่วนอีก 2 โครงการที่เหลือ จะมีการร่วมทุนกับพันธมิตรชาวต่างชาติด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับญี่ปุ่น มาเลเซีย ฮ่องกง และสิงคโปร์ คาดว่าจะสามารถสรุปผลได้ในปลายปี 62 การหาพันธมิตรมาร่วมทุนในครั้งนี้ จะช่วยความแกร่งและลดความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการด้วย ขณะที่ตลาดบ้านเดี่ยวในเมือง บริษัทฯก็ยังให้ความสนใจ แต่การแข่งขันก็สูงเช่นกัน หากจะพัฒนาจะต้องพิจารณาอย่างละเอียดและรอบคอบ
สำหรับความคืบหน้าโครงการ “VTARA สุขุมวิท 36” บนเนื้อที่กว่า 4 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น 5 อาคารจำนวน 466 ยูนิต ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 36 หลังจากที่เปิดขายได้ 10 เดือน ปรากฏว่ามียอดขายกว่า 95% ปัจจุบันโครงการฯได้ก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ 100 % พร้อมเข้าอยู่อาศัย ขณะนี้ลูกค้าโอนกรรมสิทธิ์เข้าอยู่แล้ว 90% พร้อมกับจะนำห้องชุดหลุดดาวน์ นำกลับมาขายใหม่(รีเซลส์)จำนวน 20 ยูนิต ในราคาเริ่มต้น 1.3 แสนบาทต่อตร.ม.มูลค่ารวม 200 ล้านบาท
“ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯได้จ้างโบรกเกอร์จีน ในการนำห้องชุดไปจำหน่ายยังประเทศจีน แต่เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจและนโยบายการเข้มงวดของรัฐบาลจีนในการนำเงินออกนอกประเทศ ส่งผลให้ลูกค้าตัดสินใจทิ้งเงินจอง คิดเป็นสัดส่วน 5% จึงต้องนำคอนโดฯดังกล่าวกลับมารีเซลส์ใหม่ “ธีร กล่าว
อย่างไรก็ตามในปี 2562 บริษัทคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 2,700 ล้านบาท และในปี 2563 จะรับรู้รายได้ 3,500 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%.
ส่วนแผนการนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ โดยจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปีนี้ เพื่อนำเงินทุนมาขยายธุรกิจ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของผมวางไว้ จะต้องนำ วี พร็อพเพอร์ตี้ ติดท็อปเท็นให้ได้ภายใน 3 ปี