รู้จักกับ “วิทยา พรหมชนก” อดีตผู้บริหารเทสโก้ โลตัส ควงแขนเอ็มดีออปโป้ลุยอสังหาฯ
อสังหาริมทรัพย์ถือเป็นธุรกิจที่มีมนต์เสน่ห์ตลอดกาล ยังคงดึงดูดกลุ่มทุนใหม่ ดาหน้าเขามาสู่ตลาด อย่างไม่ขาดสาย ในฐานะ “นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หน้าใหม่” จนถึงวินาทีนี้
วิทยา พรหมชนก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดับบลิวแอนด์ดับบลิว พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด อดีตผู้บริหารเทสโก้ โลตัส เล่าให้ฟังว่า ด้วยประสบการณ์ด้านธุรกิจรีเทลจากเทสโก้ โลตัส และอสังหาฯ ที่เริ่มจากการซื้อบ้านมือสองจากสถาบันการเงิน กรมบังคับคดี และบุคคลทั่วไปมาปรับปรุงขาย ครั้งละประมาณ 1-2 ยูนิต สามารถทำกำไรได้ครั้งละประมาณ 30% โดยในช่วงระยะเวลา 3-4 ปี ที่ดำเนินการในรูปแบบนี้ สามารถขายบ้านไปได้กว่า 50 ยูนิต จากหลากหลายทำเล คิดเป็นมูลค่าประมาณ 150 ล้านบาท จึงทำให้มีความเข้าใจในธุรกิจอสังหาฯได้ดียิ่งขึ้น
ดังนั้นในปี 2557 จึงได้เข้ามาดำเนินธุรกิจอสังหาฯอย่างเต็มตัว ด้วยการร่วมทุนกับนายจรูญ วิริยะพรพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย ออปโป้ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสมาร์ทโฟนแบรนด์ OPPO ก่อตั้งบริษัท ดับบลิวแอนด์ดับบลิว พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีสัดส่วนการถือหุ้นดังนี้ นายจรูญ ถือหุ้น 60% และตนถือหุ้น 40% เริ่มพัฒนาโครงการแรก “The Work” ในทำเลสุขสวัสดิ์ 64 (พระประแดง) บนพื้นที่ 2 ไร่ครึ่ง ในรูปแบบของอาคารพาณิชย์ 3 ชั้นครึ่ง ราคา 4.8 ล้านบาท จำนวน 16 ยูนิต และทาวน์โฮม 3 ชั้น ราคา 3.2 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 515 ล้านบาท ซึ่งสามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน
จากนั้นในปี 2558 ได้ดึงกลุ่มเจมาร์ท กรุ๊ป เข้ามาร่วมทุนด้วยอีก 1 ราย โดยก่อตั้งบริษัท เจแอนด์ดับบลิว พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท ถือหุ้นในสัดส่วน 33% พัฒนาโครงการ “The Bella Condo” โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่ย่านพระราม2 เป็นคอนโดฯ จำนวน 2 อาคาร สูง 8 ชั้น จำนวน 322 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท
ปัจจุบันเหลือขายแต่ห้องรีเซลเพียง 4-5% เท่านั้น ในช่วงปลายปี 2561 ได้เปิดตัวโครงการ “โพลิส คอนโด สุขสวัสดิ์ 64” เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น 2 อาคาร ขนาด 28-45 ตารางเมตร ราคา 1.19 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 459 ยูนิต มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท ขณะนี้มียอดขายแล้ว 70%
เน้นเจาะกลุ่มเรียลดีมานด์คนรักสัตว์-ผู้สูงอายุ
วิทยา บอกด้วยว่า บรรยายการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ ในปีนี้ไม่ค่อยสดใสมากนัก ในฐานะที่เป็นผู้พัฒนารายย่อย นับเป็นปีที่ท้าทาย และเข้าสู่โหมดการปรับตัว ที่จำเป็นต้องวิเคราะห์และมองตลาดให้ชัดเจน เพื่อทำการพัฒนาโครงการให้ตรงกับโจทย์ของผู้บริโภคมากที่สุด ในหลายปัจจัยของธุรกิจอสังหาฯที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดมากมาย อาทิ มาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value: LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.),สินเชื่อที่อยู่อาศัย ต้องวางเงินสูงขึ้นของผู้ซื้อบ้าน รวมถึงเรื่องของราคาที่ดิน
“บริษัทเล็งเห็นถึงจุดนี้ การพัฒนาโครงการต้องตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด รวมถึงให้ความสำคัญกับเทรนด์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน และที่สำคัญต้องเลือกทำเลที่โดนใจ มีราคาขายที่ไม่สูง และสามารถเข้าถึงกลุ่มเรียลดีมานด์ได้จริง ด้วยการวางแผนพัฒนาโครงการเพื่อรองรับเรียลดีมานด์ให้มากขึ้น อาทิ กลุ่มผู้ที่ชอบการออกกำลังกาย กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มคนรักสัตว์ เป็นต้น ก็สามารถแข่งขันกับผู้พัฒนารายใหญ่ได้ ประกอบกับการเป็นรายย่อยทำให้บริหารได้อย่างคล่องตัว ปรับเปลี่ยนแผนการได้ทันเวลา ส่งผลให้เกิดความเสียหายในธุรกิจน้อยกว่ารายใหญ่”
ส่วนทิศทางการดำเนินงานของบริษัท นับจากนี้จะเน้นการพัฒนาปีละ 2-3 โครงการ โดยเฉพาะย่านสุขสวัสดิ์ ซึ่งเป็นทำเลที่บริษัทฯมีความชำนาญ เพราะมองว่ามีการคมนาคมที่สะดวกสบาย และที่สำคัญยังไม่ค่อยมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดมากนัก อีกทั้งราคาที่ดินก็ยังไม่สูงมาก โดยที่ดินที่ติดถนนใหญ่ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 1.5-1.9 แสนบาทต่อตารางวา
ทำเลสุขสวัสดิ์ส่อโตแรงหนุนรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้
ย่านสุขสวัสดิ์ ถือเป็นทำเลที่มีพื้นฐานดีอยู่แล้ว และในอนาคตทำเลนี้ยังจะมีการเติบโตขึ้นอีกมาก ด้านการคมนาคม ที่มีทางด่วนเฉลิมมหานครเชื่อมต่อ ทางด่วนวงแหวนอุตสาหกรรม สะพานภูมิพล 1 และ 2 ที่สามารถเชื่อมต่อกับแหล่งงานสำคัญ ย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD : Central Business District) ได้โดยตรง โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ทั้งนี้ในอนาคตยังจะมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ วิ่งบนเส้นทางสุขสวัสดิ์อีกด้วย อีกทั้งยังมีแหล่งงาน ได้แก่ โรงงานขนาดใหญ่และออฟฟิตต่างๆ สถานศึกษาที่สำคัญอยู่เป็นจำนวนมาก อาทิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี(มจธ.) ด้านบริการสาธารณะและพาณิชยกรรมที่ครบครันทั้งศูนย์การค้า โรงพยาบาล และอื่นๆ
ในปัจจุบันทำเลดังกล่าว ยังมีการแข่งขันที่ไม่ได้ดุเดือดเท่ากับโซนกลางเมืองหรือย่านธุรกิจหลัก แต่ด้วยปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพของทำเล จึงเริ่มมีผู้ประกอบการณ์ทั้งรายใหญ่และรายย่อยเริ่มทยอยกันเข้ามาในพื้นที่ เนื่องด้วยการเข้ามาของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญเช่น รถไฟฟ้า และทางด่วนสายใหม่ที่จะมีในอนาคตอันใกล้ ราคาที่ดินในทำเลนี้จึงมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับการเดินทางคมนาคมที่สะดวกมากขึ้น จะช่วยดึงดูดผู้อยู่อาศัยทั้งรายเก่าและรายใหม่ ให้มีความต้องการย้ายเข้ามาอาศัยในทำเลนี้ จึงจะเห็นได้จากการเกิดโครงการใหม่ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน ในบริเวณรอบโครงการอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการอยู่อาศัยและโอกาสในการลงทุนอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ ในย่านสุขสวัสดิ์ พระประแดงบริษัทยังมีที่ดินสะสมอีก 1 แปลง บริเวณใกล้ 3 แยกพระประแดง พื้นที่ประมาณ 2.5 ไร่ มีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ ราคาประมาณ 70,000 บาทต่อตารางเมตร จำนวน 600 ยูนิต ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบ
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการโฮมออฟฟิศบริเวณซอยรามคำแหง 15 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น ขนาด 47 ตารางวา ราคา 25 ล้านบาท จำนวน 8 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดพรีเซลประมาณเดือนมิถุนายน 2562 นี้
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2562 บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 700 ล้านบาท เติบโตจากปี 2561 ที่มียอดขาย 460 ล้านบาท และคาดว่าในปีนี้จะรับรู้รายได้ประมาณ 900 ล้านบาท มากจากปี2561 ที่รับรู้รายได้ 460 ล้านบาท จากโครงการThe Bella Condo